คะเมะดะ จุนอิจิโร ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว ได้เคยยกตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง "คนเก็บเงินอยู่และเก็บเงินไม่อยู่" ไว้ได้อย่างน่าสนใจ
ซึ่งความแตกต่างที่ว่านั้นคือความสามารถในการควบคุมวิธีใช้เงินนั่นเอง ผู้ที่เก็บเงินอยู่นั้นจะละเอียดอ่อนและพิถีพิถันกับการใช้เงินมากกว่าคนที่เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ เช่น คนเก็บเงินอยู่จะรู้ถึงรายรับ - รายจ่ายต่อเดือน เงินนั้นใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง ค่าครองชีพขั้นต่ำควรมีเท่าไหร่ จะต้องเก็บเงินเผื่อในอนาคตเท่าไหร่ และจะมีเงินใช้อิสระได้วันละเท่าไหร่
คุณ จุนอิจิโร ได้สังเกตุถึงพฤติกรรมของเหล่าประธานบริษัทชื่อดังในญี่ปุ่นว่าคนเหล่านั้นมีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร และจากการสังเกตุเขาจึงเห็นความเหมือนกัน 10 ข้อ ของวิธีการใช้กระเป๋าสตางค์ของบุคคลเหล่านี้
1. ใส่เงินก้อนใหญ่ลงในกระเป๋าสตางค์ใบใหม่ที่ซื้อมา
เรื่องนี้เหมือนกับการเอาฤกษ์เอาชัยของเราครับ การให้กระเป๋าสตางค์ใบใหม่มีเงินก้อนใหญ่อาศัยอยู่ เหมือนเป็นการบอกว่ากระเป๋าใบนี้ต่อไปจะเป็นกระเป๋ารับทรัพย์ ทำให้กระเป๋าเงินใบนี้คุ้นเคยกับเงินก้อนใหญ่
2. หันหัวธนบัตรไปในทางเดียวกัน
คนหาเงินเก่งเก็บเงินเก่งมักพิถีพิถันกับเงิน ซึ่งความละเอียดนี้ก็ไม่เว้นแม้แต่การเก็บธนบัตรใส่ในกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสตางค์ของคนรวยจึงมีระเบียบเรียบร้อย เพราะเขาเหล่านั้นใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อยนั่นเอง
3. ใส่ธนบัตรห้าพันเย็นในกระเป๋าให้เยอะที่สุด
ในข้อนี้อาจจะเปรียบบริบทยากซักหน่อยครับ เพราะธนบัตรญี่ปุ่นกับของไทยนั้นมีต่างกัน แต่สาเหตุที่ อิจิโร ให้ธนบัตรห้าพันเย็นให้มากที่สุดมีสาเหตุมากจากการเก็บเงินห้าพันเย็นเป็นจำนวนเยอะที่สุดทำให้ใช้แต่ธนบัตรห้าพันเยนในการจ่ายสินค้า ทำให้ลดการใช้จ่ายด้วยธนบัตรหนึ่งหมื่นเยนซึ่งที่ค่ามากที่สุด และเป็นการฝึกควบคุมเงินให้กับตัวเองและเก็บออมไปในตัว เหมือนที่บ้านเรามีสูตรหนึ่งที่เคยฮิตกันคือ ถ้าเจอแบงค์ 50 จะเก็บเอาไว้ห้ามใช้เด็ดขาด
4. แยกเหรียญใส่กระเป๋าอีกใบ
การยัดทั้งธนบัตรและเหรียญลงไปในกระเป๋าสตางค์ใบเดียวกัน นอกจากจะทำให้กระเป๋าเสียทรงแล้ว ยังทำให้กระเป๋าสตางค์ดูอ้วนและใหญ่จนเกินไปซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ละเอียด และละเลยในการใส่ใจเรื่องเงิน การแยกเงินออกเป็นสัดส่วนทำให้ง่ายต่อการจัดการ และฝึกการใส่ใจในเรื่องเงินเพิ่มเติมขึ้นด้วย
5. ดูว่าเงินทอนเป็นเหรียญหรือธนบัตรรุ่นพิเศษหรือเปล่า
ให้สังเกตุจนเป็นนิสัยเวลาได้เงินทอน ว่าเงินทอนที่ได้นั้นเป็นเหรียญหรีอธนบัตรพิเศษหรือเปล่า เช่น เหรียญที่ทำขึ้นเพื่อครบรอบพิธีการต่างๆ หรือธนบัตรพิเศษที่ตีพิมพ์เพื่อฉลองวันพิเศษ เป็นที่รู้กันดีว่าเหรียญหรือธนบัตรพิเศษเหล่านี้ทำขึ้นมาอย่างมีจำกัด คนที่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยกับเรื่องเงินจะใช้เงินลักษณะพิเศษเหล่านี้โดยไม่สังเกตุ ( หรือบางคนอาจมีเหตุผลจำเป็นต้องใช้ ) การฝึกใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างการสังเกตุเงินทอน คือการฝึกนิสัยความละเอียดในการใช้เงินทางอ้อมนั่นเอง
6. ตั้งกฏเก็บเงินด้วยธนบัตรหรือเหรียญที่เรากำหนด
วิธีน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีครับ และน่าจะมีหลายนคนทำอยู่ เช่น ฉันจะเก็บแบงค์ 50 ทุกใบที่ได้โดยจะไม่ใช้และหยอดกระปุกเอาไว้ วิธีนี้นอกจากจะฝึกวินัยทางการเงินแล้ว ยังเป็นจิตวิทยาทางอ้อมด้วยเพราะเราจะดีใจทุกครั้งที่เห็นแบงค์ 50 หรือธนบัตรอะไรก็ได้ตามแต่ที่เราจะตั้งกฏขึ้นมา การฝึกลักษณะเราจะรู้สึกว่า "ดีใจจัง ฉันจะได้เก็บเงินเพิ่มอีกแล้ว" ทำให้รู้สึกสนุกทุกครั้งกับการเก็บออมเงิน
7. จ่ายเงินด้วยธนบัตรใบใหม่ทุกครั้ง
เวลาที่เราได้รับเงิบ หรือเวลากดเงินออกจากตู้ ATM เราย่อมรู้สึกดีที่ได้ธนบัตรใบใหม่ มากกว่าได้ธนบัตรใบเก่ามีรอยยับยู่ยี่ใช่ไหมครับ ดังนั้นเวลาที่เราเป็นคนจ่ายเงิน ผู้รับเงินต่อจากเราย่อมรู้สึกเช่นเดียวกัน การใช้เงินสะท้อนท่าทีต่อคนผู้นั้น การใส่ใจในเรื่องเงินนั้นจะต้องใส่ใจต่อผู้อื่นด้วย ไม่ใช่แค่เพียงเพียงตัวเอง
ลองสมมุติว่าเราเป็นลูกค้าร้านอาหารสักร้านดูก็ได้ครับ เราจะประทับใจกว่าหรือเปล่า ถ้าร้านอาหารร้านนี้ทอนเงินให้เราเป็นธนบัตรใบใหม่ทุกใบ เราคงประทับใจและอยากกลับไปใช้บริการใหม่
8. ยื่นเงินให้อย่างสุภาพ
การยื่นเงินให้ผู้รับนั้นจะส่อถึงพฤติกรรมการใช้เงินของคนผู้นั้นได้เป็นอย่างดี และสะท้อนถึงการบริหารของผู้นั้นเวลาใช้เงินอีกด้วย คนที่จ่ายเงินด้วยแบงค์ที่ขยำยู่ยี่ หรือจ่ายให้เงินใครด้วยการโยนให้ ผู้ที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้มักจะเป็นคนที่ไม่ละเอียด จะบริหารคน หรือบริหารเงินก็มักจะติดๆขัดๆ แถมยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีกับเขาอีกด้วย
9. เวลาเงินออกให้พูดว่า " ไปดีนะ" เวลาเงินเข้าให้พูดว่า "กลับมาแล้วเหรอ"
เรื่องนี้อาจฟังดูตลกนะครับ แต่ถ้าลองคิดดีๆแล้ว นี่คือวิธีการเตือนสติเราเป็นอย่างดีว่าเงินออกจากกระเป๋าเราไปแล้วกี่ครั้ง และเงินเข้าในกระเป๋าเรากี่ครั้ง การทำแบบนี้จนเป็นนิสัยจะช่วยเตือนสติเราทุกครั้งก่อนใช้เงินได้เป็นอย่างดี
10. จ่ายภาษีด้วยความรู้สึกดี
การจ่ายภาษีมักมาพร้อมความเจ็บปวดเวลาที่เราจ่ายเงินก้อนออกไป ดั้งนั้น จึงมีหลายคนรู้สึกไม่ดีกับการจ่ายภาษี แต่การจ่ายภาษีก็เป็นเครื่องยืนยันให้กับได้อย่างหนึ่งว่าว่ากิจการของเรา หรือตำแหน่งของเราที่ทำอยู่นั้นมีรายได้และมีกำไร การจ่ายภาษีมากคือสิ่งพิสูจน์ว่าเราได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากและช่วยได้ช่วยเหลือสังคมเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน